บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 1-5 มีนาคม 2021

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD อย่างที่คาดการณ์ไว้ คำแถลงของประธานธนาคารเฟดปรากฏออกมาค่อนข้างน่าสนใจ นายเจอโรม พาวเวลล์ได้นำเสนอรายงานรอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสเกี่ยวกับนโยบายทางการเงิน ซึ่งมีการรายงานว่า ไม่ใช่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทุกด้านจะดีอย่างที่คาดหวัง ระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนปี 2020 ตามมาด้วยภาวะชะลอตัวของอัตราการเติบโต ตัวเลขว่างงานที่ลดลงก็ชะลอตัวเช่นกัน และการจับจ่ายใช้สอยของครัวเรือนก็ไม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
    หลังจากช่วงเวลาที่น่าสบสนของปี 2020 ความสนใจส่วนใหญ่มุ่งไปที่ความแตกต่างทางกลุ่มประชากรและสังคม แต่ภาพรวมก็ไม่ได้ดูสดใสเช่นกัน อัตราว่างงานในหมู่ชาวอเมริกัน “ผิวขาว” คือ 5.7% ในขณะที่ในกลุ่มคนอเมริกันเชื้อสายสเปน (hispanic) อยู่ที่ 8.6% และในหมู่ชาวแอฟริกันอเมริกันสูงถึง 9.2% และยังมีเลือกปฏิบัติตามเพศอีกด้วย ในเดือนสุดท้ายของปี 2020 ผู้ชายได้รับการจ้างงานใหม่ 16,000 คน ในขณะที่ผู้หญิงต้องสูญเสียเงินถึง 140,000 คน
    ปัจจัยทั้งหมดข้างต้นนี้ทำให้ความสงสัยเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกา นำไปสู่ความต้องการในความเสี่ยงที่ลดลง และกระทบต่อตลาดหุ้นและดอลลาร์สหรัฐ นักลงทุนกำลังหันเหความสนใจมาที่พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว นับตั้งแต่ต้นปี 2021 ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลรอบ 10 ปีพุ่งขึ้นจาก 0.91% เป็น 1.56% และการเติบโตนี้ก็สังเกตเห็นได้ชัดเป็นพิเศษในช่วงนี้ สำหรับดัชนีหุ้น (โดยเฉพาะหุ้นบริษัทกลุ่มเทคโนโลยี) ปรับลดลงอย่างหนัก เช่น S&P500 ปรับลง 3.8% ในเวลาเพียงสองวัน (25-26 กุมภาพันธ์) ในขณะที่ Nasdaq Composite ดิ่งลงมามากกว่า 3% ด้านดัชนี DXY ดอลลาร์ก็ขยับลงมาสู่ระดับต่ำสุดของปี 2018 ซึ่งเสียมูลค่าประมาณ 9% ในปีนี้
    ในสถานการณ์เช่นนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (65%) ได้คาดว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลงและราคาคู่นี้จะขยับขึ้นไปยังโซน 1.2200-1.2300 ซึ่งเกิดขึ้นจริง คู่ EUR/USD ได้ทำราคาสูงสุดรอบสัปดาห์เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ 1.2245 แต่ดูเหมือนว่าหลังจากนั้นนักลงทุนเริ่มเปลี่ยนใจ และเริ่มตระหนักว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวจะส่งผลต่ออัตราการเติบโตของสินเชื่อผู้บริโภคโดยตรง และก็ทำให้ระลึกถึงช่วงวิกฤติสินเชื่อจำนองที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2008 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะการล้มละลายมากมาย ด้วยเหตุนี้ ดอลลาร์จึงแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย คู่ EUR/USD ปรับตัวลงมายังโซน 1.2070-1.2100 ซึ่งเป็นบริเวณที่ราคาขยับมาแล้วหลายครั้งตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา แปลความหมายได้อย่างเดียวคือ ตลาดมีความสับสนและขาดความชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มของเศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐฯ
  • GBP/USD อย่างที่คาดการณ์ไว้ ถ้อยแถลงของ นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เมื่อวันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ รวมถึงตัวเลขที่เป็นบวกจากตลาดแรงงานสหราชอาณาจักรเมื่อวันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ ช่วยดันอัตราแลกเปลี่ยนคู่ GBP/USD ขึ้นทำระดับสูงสุดของปี 2018 โดยขึ้นมาที่ 1.4240
    และแน่นอน อัตราการเคลื่อนที่ของคู่นี้ย่อมได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เมื่อราคาเดินตามรอย EUR/USD คู่ GBP/USD ขยับลงทางทิศใต้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ โดยเฉพาะเมื่อราคามีแรงซื้อสูงเกินไปมากอยู่แล้ว และก็มีหลายคนที่คงต้องเก็บกำไรจากเงินปอนด์ไปบ้างแล้ว
    จนถึงวันศุกร์ ราคาได้ปรับลดลงมา 355 จุด จนถึงระดับต่ำสุดที่ 1.3885 ตามมาด้วยรีบาวด์และปิดตลาดที่ 1.3930
  • USD/JPY ในสัปดาห์ที่แล้วได้วิเคราะห์ไว้ว่า ราคาคู่นี้กำลังขยับในกรอบด้านข้างระยะกลางที่ 102.60-107.00 ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญเพียง 35% ที่เชื่อว่าราคายังเคลื่อนที่ในเทรนด์ขาขึ้นไปยังกรอบด้านบนไม่เสร็จสมบูรณ์ และก็เป็นเช่นนั้น ออสซิลเลเตอร์ 75% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 80% บนกรอบ D1 เห็นด้วยกับคำทำนายนี้ ซึ่งยิ่งช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับผลการทำนายดังกล่าว ซึ่งปรากฏออกมาว่าถูกต้องสมบูรณ์ คู่ USD/JPY ทำระดับสูงสุดในรอบ 26 สัปดาห์ที่ 106.70 ในช่วงครึ่งหลังของวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ ก่อนที่จะปิดตลาดอย่างสวยงามที่ระดับ 106.55
  • คริปโตเคอเรนซี เราได้เขียนแล้วหลายครั้งว่า การปรากฏตัวของนักลงทุนรายสถาบันขนาดใหญ่ในตลาดเงินคริปโตเป็นดาบสองคม ในทางหนึ่ง สิ่งนี้สามารถช่วยดันตลาดสูงขึ้นได้อย่างรุนแรง และในทางกลับกันก็สามารถกดราคาให้จมลงเพื่อเก็บกำไร นอกจากนี้ พฤติกรรมและท่าทีของสถาบันเหล่านี้จะอิงกับท่าทีและสถานการณ์ของหน่วยงานกำกับดูแลและหน่วยงานรัฐบาลอื่น ๆ เราก็ได้สัมผัสถึงสิ่งนี้อย่างชัดเจนในสัปดาห์ที่แล้ว
    หลังจากบิทคอยน์ทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $58,275 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ นักลงทุนจับตาดูให้ราคาขึ้นไปยัง $60,000 แต่ราคาเกิดกลับตัวอย่างกะทันหัน และดิ่งลงมา 23% ที่ $44,985 จากนั้นก็รีบาวด์ขึ้นไปที่ $50,000 ก่อนที่จะตกลงมาอีกครั้งที่ $44,000
    ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า การเริ่มเก็บกำไรขนานใหญ่โดยเหล่า “ปลาวาฬ” ในตลาดเป็นผลมาจากคำแถลงของ นางเจเน็ต เยลเลน อดีตประธานธนาคารเฟด ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เกี่ยวกับลักษณะที่เก็งกำไรสูงของเงินคริปโต และโอกาสของการใช้งานในการฟอกเงิน ตามความเห็นของนักวิเคราะห์อย่าง สเวน เฮนริช ผู้อำนวยการรัฐมนตรีการคลัง ก็ได้ประกาศสงครามกับบิทคอยน์
    “สกุลเงินดิจิทัลสามารถทำให้การชำระเงินรวดเร็วและถูกลง แต่มีอีกหลายประเด็นที่ต้องมีการศึกษา รวมถึงการคุ้มครองผู้บริโภคและการฟอกเงิน” กล่าวโดย เจเน็ต เยลเลน อีกทั้งยังระบุถึงโอกาสที่จะเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางฯ เอง (CBDC)
    การดิ่งลงของบิทคอยน์ยังอาจได้รับแรงเสริมจากดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวลงรอบโลก และการเริ่มต้นแจกจ่ายวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาขนานใหญ่ แต่สิ่งสำคัญคือท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหลัก
    ตามรายงานของ Bloomberg เกี่ยวกับการปรับราคาลงครั้งใหญ่ของอัตราแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอ Tesla และ SpaceX ต้องสูญเสียตำแหน่งอันดับหนึ่งในฐานะบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก หุ้น Tesla ของเขาปรับลงมา 8.6% ทำให้เขาสูญเงินไปถึง $15.2 พันล้านดอลลาร์ ในขณะเดียวกัน แนวโน้มขาลงของบิทคอยน์อาจมีผลส่วนหนึ่งมาจากคำพูดของนายมัสก์เองด้วยซ้ำ ซึ่งเขากล่าวว่าราคาเงินคริปโตนั้นสูงเกินไป อย่างที่สุภาษิตว่าไว้ว่า คำพูดคือเงิน ความเงียบคือทอง ซึ่งนายมัสก์ก็น่าจะไม่ปริปรากจะดีเสียกว่า ☺
    แน่นอน เมื่อมีคนเสียเงินก็ต้องมีคนได้กำไร เช่น เนื่องด้วยข้อผิดพลาดทางเทคนิค ลูกค้าบางคนของตลาดเงินคริปโตของฟิลิปปินส์ PDAX สามารถซื้อเหรียญบิทคอยน์ด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดถึง 10 เท่า ตามรายงานของ Bitpinas หนึ่งในผู้ใช้งานยอมรับว่าเขาได้ซื้อเงินบิทคอยน์ที่ราคา 300,000 เปโซน ($6150) ในขณะที่ราคาตลาดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ $50,000 หลังจากนั้นเขาก็โอนเงินเข้าสู่วอลเล็ตคริปโตของเขา หนึ่งวันถัดมา PDAX ส่งจดหมายให้เขาคืนเหรียญบิทคอยน์ดังกล่าว แต่ทนายความของผู้ซื้ออ้างว่า “ธุรกรรมนี้มีความชอบธรรม” ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและ PDAX ไม่สามารถเพิกถอนธุรกรรมโดยฝ่ายเดียวได้”
    ลูกค้าอีกหนึ่งรายจากตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตแห่งนี้ก็พบกับเงิน 4 หมื่นล้านเปโซหรือประมาณ 820 ล้านดอลลาร์ในบัญชีของเขาโดยไม่คาดคิด แต่ก็ไม่มีรายงานว่าเขาสามารถถอนเงิน “ของขวัญ” นี้ออกมาจาก PDAX ได้หรือไม่
    โดยทั่วไปแล้ว ความน่าเชื่อถือของตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโตยังเป็นประเด็นที่น่าเจ็บปวด ตามรายงานของ BDCenter Digital ชี้ว่า Kraken, Coinbase และ Binance คือตลาดที่ปลอดภัยมากที่สุด อีกทั้งยังต้องเน้นบริษัทโบรกเกอร์ NordFX ด้วยเช่นกัน ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมและเก็บเงินฝากในสกุลเงินคริปโตได้ ซึ่งในช่วงเวลา 13 ปีที่โบรกเกอร์นี้ประกอบธุรกิจมา ไม่เคยมีการโจรกรรมเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียวหรือมีเหตุการณ์ลูกค้าสูญเสียเงินใด ๆ ทั้งสิ้น
    ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ คู่ BTC/USD ซื้อขายอยู่ในโซน $46,000 มูลค่ารวมในตลาดลดลงในรอบสัปดาห์จาก $1,625 พันล้านเหลือ $1,410 พันล้านดอลลาร์ และดัชนี Crypto Fear & Greed Index ก็ออกมาจากโซน overbought ในที่สุด โดยลดลงมายังระดับปานลางจาก 93 เป็น 55
    เมื่อมาถึงเหรียญอัลท์คอยน์ ในส่วนนี้มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย เช่น บริษัท Nvidia ที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดในด้านการพัฒนา GPUs ได้ประกาศแผนการเปิดตัวการ์ดจอรุ่นสำหรับการขุดเหรียญ Ethereum โดยเฉพาะ ตามรายงานของ CNBC คาดว่าจะเปิดขายในเดือนมีนาคมนี้
    แต่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่ยากลำบากจะยังไม่จบสำหรับ Ripple หนึ่งในบริการการโอนเงินขนาดใหญ่ที่สุดของโลก MoneyGram ปฏิเสธที่จะใช้ผลิตภัณฑ์เหรียญ XRP โดยอ้างเรื่องคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) ที่มีคดีความกับ Ripple นอกจากนี้ Coinbase and OKCoin, Galaxy Digital, Bitstamp, B2C2, eToro และ Kraken ก็ได้ปฏิเสธการสนับสนุนเหรียญ XRP แล้ว ด้านบริษัท Grayscale Investments ที่บริหารสินทรัพย์ได้ประกาศการยุติกองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนของเหรียญ XRP และ 21Shares ได้ตัดเหรียญ Ripple ออกจากผลิตภัณฑ์ซื้อขายบนตลาด ทำให้ Ripple เสียมูลค่าถึง 45% ในสัปดาห์ที่แล้ว และคู่ XRP/USD ซื้อขายอยู่ที่ $0.42 เมื่อช่วงเย็นวันที่ 26 กุมภาพันธ์

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD ตัวเลขที่ให้ไว้ในส่วนแรกของบทวิเคราะห์นี้เป็นตัวยืนยันความเห็นของฝ่ายผู้บริหารธนาคารเฟดสหรัฐฯ ว่า ยังถือว่าเร็วไปอย่างยิ่งที่จะมาพูดคุยเกี่ยวกับการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) รวมถึงการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ดังนั้น ธนาคารเฟดจะดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนปรนต่อไป แม้ว่าความคาดหวังในระดับเงินเฟ้อจะสูงขึ้น อันเนื่องมาจากดุลงบประมาณของธนาคารเฟดที่เพิ่มเป็นสองเท่าในช่วงปีที่ผ่านมา
    อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ เท่านั้นที่เผชิญปัญหาหนี้สาธารณะสูงขึ้น ยุโรปก็ประสบกับปัญหาที่คล้ายกันเช่นกัน และอัตราดอกเบี้ยในยุโรปก็ต่ำกว่าของสหรัฐฯ มาก อัตรากำไรในพันธบัตรรัฐบาลยุโรปก็เพิ่มขึ้น โดยผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีรอบ 10 ปี ทำระดับสูงสุดแล้วในรอบ 11 เดือน
    โดยทั่วไป เรากล่าวได้ว่า ความสมดุลระหว่างปัญหาและความสำเร็จของประเทศโลกเก่าและโลกใหม่ยังคงตัวอยู่ในระดับเดิม โดยมีความผันผวนชั่วคราวบ้างเล็กน้อย ซึ่งสะท้อนให้เห็นเป็นเทรนด์ด้านข้างรอบสามเดือนของคู่ EUR/USD หากคุณสังเกตกราฟ จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2020 ส่วนใหญ่กราฟจะขยับอยู่ในกรอบที่ค่อนข้างแคบที่ 1.2050-1.2185 โดยมีการดีดออกนอกกรอบที่ 1.1950 และ 1.2350
    หากเราพูดถึงแนวโน้มระยะสั้น นักวิเคราะห์ 70% เชื่อว่า ราคาคู่นี้จะยังคงขยับลดลงต่อไปยังโซน 1.1950-1.2000 ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยการวิเคราะห์จากออสซิลเลเตอร์ 75% บน H4 ส่วน 25% ที่เหลือให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน oversold สำหรับออสซิลเลเตอร์บน D1 มีสัดส่วนสีแดง เขียว และเทากลางที่เท่า ๆ กัน ด้านอินดิเคเตอร์เทรนด์ 95% บน H4 และ 65% บน D1 ให้สัญญาณสีแดง
    แต่การวิเคราะห์กราฟบนทั้งสองกรอบเวลาโน้มเอียงไปทางการเคลื่อนที่ขาขึ้นของคู่นี้ โดยให้แนวต้านไว้ที่  1.2170 1.2240 และ 1.2270 อย่างไรก็ตาม หลังจากราคาดันขึ้นไปทิศเหนือ การวิเคราะห์กราฟบน D1 ชี้ว่า ราคาจะขยับลดลงไปยังแนวรับในเดือนมีนาคมที่ 1.1950
    และตอนนี้มาถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ อันดับแรกเราจะจับตารอฟังคำแถลงของ นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปในวันจันทร์ที่ 1 มีนาคม และนายเจอโรม พาวเวลล์ ในวันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม สถิติตลาดผู้บริโภคในเยอรมนีและอียูจะประกาศในวันที่ 1, 2 และ 4 มีนาคม สำหรับสถิติมหภาค ดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจของ ISM ในภาคการผลิตและภาคเอกชนจะประกาศในวันจันทร์และวันพุธ นอกจากนี้ สถิติตลาดแรงงานจะประกาศในวันพุธและศุกร์ นอกจากนี้ การคาดการณ์ประเมินว่าตัวเลขตำแหน่งงานใหม่นอกภาคการเกษตร (NFP) จะเพิ่มสูงขึ้นมาก จาก 49K เป็น 148K
  • GBP/USD อันดับแรกเป็นผลวิเคราะห์ของอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค ออสซิลเลเตอร์ 90% บน H4 ชี้ไปทางทิศใต้ 10% อยู่ในโซน oversold มีเพียง 15% ที่หันไปทางทิศใต้ในกรอบ D1 แต่ 50% ไปทางทิศเหนือ และ 35% ให้สัญญาณเป็นกลาง
    ด้านอินดิเคเตอร์เทรนด์: 80% หันทางทิศใต้บน H4 ส่วน 20% ชี้ทิศเหนือ 25% ชี้ทิศใต้บนกรอบ D1 ส่วน 75% ชี้ทิศเหนือ
    การวิเคราะห์กราฟบน D1 ให้ภาพเทรนด์ด้านข้างในช่วง 1.3860-1.4240 และชัดเจนว่า เนื่องจากราคาปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วใกล้กับกรอบด้านล่างของช่อง ราคาน่าจะขยับขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญ 60% เห็นด้วยกับคำทำนายนี้ ระดับแนวต้านในที่นี้คือ 1.3960, 1.4055, 1.4085 และ 1.4175
    ส่วนผู้เชี่ยวชาญ 30% ที่เหลือเชื่อว่า ราคาจะตัดผ่านกรอบด้านล่างของช่องที่ 1.3860 จากนั้นไปที่แนวรับบริเวณ 1.3800 และจะไปยังโซน 1.3600-1.3760 ทั้งนี้ เมื่อปรับจากการวิเคราะห์รายสัปดาห์เป็นรายเดือน จำนวนผู้สนับสนุนเทรนด์ตลาดหมีเพิ่มเป็น 65%
  • USD/JPY เทรนด์ขาลงที่กินเวลาหลายเดือนได้หยุดลงเมื่อวันที่ 6 มกราคม และราคาก็เริ่มขึ้นมายังทิศเหนือ โดยขยับเข้าสู่กรอบขาขึ้น จากการวิเคราะห์กราฟบน D1 คู่ USD/JPY ขยับเกือบถึงกรอบด้านบนแล้วตอนนี้ ซึ่งเป็นโซน 106.70-107.00 และคาดว่าในเร็ว ๆ นี้ จะตีกลับมายังทิศใต้อีกครั้ง สถานการณ์นี้สนับสนุนโดยสัญญาณจากออสซิลเลเตอร์ 25% ที่ชี้ว่า ราคาอยู่ในโซน overbought ชัดเจนว่า ออสซิลเลเตอร์ 75% ที่เหลือ และอินดิเคเตอร์ 100% บนกรอบเวลาทั้งสองให้สัญญาณยังเป็นสีเขียวในตอนนี้
    สำหรับผู้เชี่ยวชาญ หนึ่งในสามเห็นด้วยกับฝั่งตลาดกระทิง หนึ่งในสามโหวตให้ตลาดหมี และอีกหนึ่งในสามมีท่าทีเป็นกลาง อย่างไรก็ดี เมื่อปรับมาเป็นการวิเคราะห์รายเดือน นักวิเคราะห์ 75% โหวตว่าราคาจะคงตัวอยู่ในกรอบระยะกลางที่ 102.60-107.00 (ซึ่งระบุไว้ในตอนต้นของบทรีวิวฉบับนี้) และดังนั้น ราคาจะรอกลับมายังโซนตรงกลางที่ 105.00 แนวรับ ได้แก่ 106.10 และ 105.70 ส่วนผู้เชี่ยวชาญ 25% ที่เหลือเชื่อว่าราคาจะยังคงสามารถขยับขึ้นถึงโซน 108.00-108.50 ได้

  • คริปโตเคอเรนซี ความนิยมและโด่งดังของเงินคริปโตยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากรายงานของ BDCenter Digital จำนวนโพสต์ทวิตเตอร์ 12 จาก 100 โพสต์เกี่ยวกับเงินคริปโต ในช่วงสัปดาห์ระหว่างวันที่ 7-14 กุมภาพันธ์ ผู้ใช้งานทวิตเตอร์กล่าวถึงบิทคอยน์มากกว่า 675,000 ครั้ง สถิติครั้งล่าสุดที่เคยทำไว้เมื่อวันที่ 10 มกราคม นั้นคือจำนวนโพสต์ที่กล่าวถึงบิทคอยน์ในรอบสัปดาห์คือ 576,000 ครั้ง โดยรวมแล้ว จำนวนผู้ใช้งานเงินคริปโตนั้นมากกว่า 200 ล้านคนจากทั้งหมดกว่า 150 ประเทศ
    แม้ว่าจะเป็นขาลงในสัปดาห์ที่แล้ว 2021 เริ่มต้นปีอย่างดีสำหรับบิทคอยน์โดยรวม ราคาเริ่มต้นที่ $28,800 เมื่อวันที่ 1 มกราคม และซื้อขายอยู่ที่ $46,000 ณ เวลาที่เขียนบทรีวิวฉบับนี้ โดยทำมูลค่าขึ้นมาเกือบ 60% และ ณ ตอนนี้ที่สำคัญคือ ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ในที่สุดก็ออกมาจากภาวะ overbought โดยตัวเลขดัชนีลดลงมาจาก 93 เป็น 55 ที่โซนปานกลาง
    แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่า ราคาคู่ BTC/USD จะทะยานขึ้นโดยทันที อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นให้ความหวังกับนักลงทุนที่จะทำตามความฝันของผู้เชี่ยวชาญและกูรูเงินคริปโตมากมาย ในครั้งที่แล้ว ลิซา เอ็ดเวิร์ดส์ น้องสาวของผู้ที่อ้างว่าก่อตั้งบิทคอยน์ เคร็ก ไวรต์ ได้ทำนายไว้ว่าเหรียญบิทคอยน์จะขึ้นมาถึง $142,000 เมื่ออิงจากทฤษฎี Elliott Wave เธอชี้ว่า ราคาบิทคอยน์จะขยับขึ้นมาที่ $90,000 ภายในเดือนพฤษภาคม 2021 ลดลงมาที่ $55,000 ในเดือนมกราคมปี 2022 และจะทะยานขึ้นไปยัง $142,000 ในเดือนมีนาคมปี 2023
    ตามความเห็นของ นายอันโธนี ปอมพลีอาโน ผู้ร่วมก่อตั้ง Morgan Creek Digital Assets ชี้ว่า ราคาบิทคอยน์อาจพุ่งขึ้นถึง $500,000 ภายในทศวรรษนี้ และอาจขึ้นไปถึง $1 ล้านเหรียญในระยะยาว
    อย่างไรก็ตาม การเติบโตของราคาบิทคอยน์อาจหยุดลงเพราะการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจโลกจากภาวะถดถอยที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ในกรณีนี้ ธนาคารกลางต่าง ๆ จะเริ่มปรับลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย หยุดซื้อสินทรัพย์ และพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเติม ทำให้เงินทุนที่ไหลเข้าสู่บิทคอยน์ในฐานะหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงสุดจะแห้งแล้งลงได้อย่างรวดเร็ว
    แล้วเราสังเกตเห็นอะไรในสัปดาห์ที่แล้ว - การปรับฐานชั่วคราวหรือการเริ่มต้นขึ้นของ “ฤดูหนาวเงินคริปโต” รอบใหม่? คำถามยังคงปลายเปิด แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) เชื่อว่า BTC/USD จะขยับถึงโซน $60,000-75,000 ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยทัศนคติในแง่ลบเป็นของนักวิเคราะห์ที่เหลือ 30% ที่มองราคาไว้ที่ $30,000-35,000

 

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา