บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 8 - 12 กุมภาพันธ์ 2021

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ โดยได้รับแรงกระตุ้นจากทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาลดลงอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงสามสัปดาห์เท่านั้นตั้งแต่ช่วงยอดสูงสุด ตัวเลขเฉลี่ยในรอบ 7 วันลดลงเกือบ 50% และความสำเร็จของวัคซีนประกอบกับมาตรการเยียวเศรษฐกิจชุดใหม่สามารถนำไปสู่ภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศได้
    และตรงนี้เองที่ความสับสนเริ่มต้นขึ้น ซึ่งทำให้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนต่างฉงนใจ ช่วงการแพร่ระบาดเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วได้เกิดความสัมพันธ์แบบแปรผกผันที่เห็นได้อย่างชัดเจนระหว่างดอลลาร์และดัชนีหุ้น หลังจากหุ้นตกลงอย่างรุนแรงในช่วงต้น มาตรการกระตุ้นทางการคลัง (QE) อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง และการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการพิมพ์ธนบัตร ส่งผลให้ดัชนีหุ้น, S&P500, Dow Jones, Nasdaq ขยับขึ้นและดัชนีดอลลาร์ DXY ขยับลดลง
    และตอนนี้มาถึงปี 2021 ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตร หลังจากตัวเลขสถิติทางเศรษฐกิจที่ดี และการคาดการณ์ “การอัดฉีด” ทางการคลังรอบใหม่เป็นเงินกว่า $2 ล้านล้านดอลลาร์ ความต้องการในความเสี่ยงและดัชนีหุ้นยังคงขยับขึ้น แต่คู่ขนานกันนั้น ผลตอบแทนระยะยาวของพันธบัตรสหรัฐฯ และดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นเช่นกัน
    “แต่มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น” ผู้เชี่ยวชาญหลายคนอุทาน นโยบายทางการเงินแบบผ่อนปรนและการกระตุ้นผลิตเม็ดเงินเข้าตลาดควรจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลงไม่ใช่แข็งค่าขึ้น หรือบางทีนี่ไม่ใช่การแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์แต่อย่างใด แต่เป็นการอ่อนค่าลงของสกุลเงินคู่แข่งอื่น ๆ ? หรือเป็นเพราะยูโร?
    เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ราคาอยู่ที่ 1.2135 โดย EUR/USD ทำราคาต่ำสุดที่ 1.1950 เมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ โดยตัดทะลุระดับแนวรับที่ 1.2000 เป็นครั้งแรกในรอบ 10 สัปดาห์ หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นและดอลลาร์ก็เปลี่ยนสัญญาณอีกครั้ง จากบวกเป็นลบในครั้งนี้: ดัชนี S&P500 ขยับขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ดัชนี DXY เริ่มดิ่งลง ส่งผลให้คู่ EUR/USD ปรับตัวขึ้นมาและปิดตลาดรอบห้าวันทำการที่ 1.2050
  • GBP/USD เราได้คาดการณ์ไว้ว่า ในที่ประชุมวันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ ธนาคารแห่งชาติอังกฤษจะคงปริมาณการซื้อพันธบัตรไว้ที่ £895 พันล้านปอนด์ และอัตราดอกเบี้ยระดับเดิมที่ 0.1% และก็เป็นเช่นนั้นจริง นโยบายทางการเงินไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่ในขณะเดียวกัน ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เงินปอนด์เริ่มแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเทียบกับดอลลาร์ โดยดีดขึ้นมา 135 จุด จาก 1.3565 เป็น 1.3700
    ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ผลการประชุมของธนาคารกลาง แต่เป็นการคาดการณ์ของตลาด คณะกรรมการของธนาคารฯ ตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์ให้คงมาตรการเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่นักลงทุนบางส่วนคาดว่าจะมีเสียงที่แตกเป็นกลุ่ม ๆ ในหมู่กรรมการ และคาดไว้ว่าจะมีสมาชิกบางคนที่สนับสนุนอัตราดอกเบี้ยติดลบ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ผลคะแนนออกมาที่ 9:0
    ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบจะส่งผลให้เงินปอนด์ทรุดตัวลง แต่สถานการณ์นี้ถูกกอบกู้โดยทัศนคติในแง่บวกในหมู่กรรมการบริหารเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร ในความเห็นของพวกเขา วัคซีนจะส่งผลให้ GDP ของประเทศขยับถึงช่วงก่อนโควิดในปีนี้ และดัชนีราคาผู้บริโภคจะขยับขึ้น 2% ในช่วงต้นปี 2022
    ผลการตัดสินใจที่เป็นเอกฉันท์ของธนาคารแห่งชาติอังกฤษที่ล้มเลิกความคิดที่จะใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบในอนาคตอันใกล้อาจกระตุ้นให้เงินทุนไหลเวียนเข้ามาในประเทศมากขึ้น และสิ่งนี้เองสะท้อนให้เห็นจากการที่คู่ GBP/USD ขยับขึ้นมาต่อเนื่องในวันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ และปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ 1.3735
  • USD/JPY การเคลื่อนที่ของคู่นี้โดยหลักแล้วไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น แต่เป็นในสหรัฐฯ เป็นหลักที่มีความเคลื่อนไหวของดัชนีดอลลาร์ DXY ดัชนีหุ้น และผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาล ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเช่นกัน
    เมื่อวันที่ 27 มกราคม ราคาได้ตัดทะลุกรอบด้านบนในช่องขาลงระยะกลาง ซึ่งราคาได้ขยับลงมาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมปีที่แล้ว และขยับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และแม้ว่าออสซิลเลเตอร์ส่วนใหญ่และอินดิเคเตอร์ในกรอบ H4 และ D1 ชี้ถึงเทรนด์ขาขึ้น มีผู้เชี่ยวชาญเพียง 30% เท่านั้นที่ได้โหวตให้แนวโน้มขาขึ้น แต่เป็นคำทำนายของผู้เชี่ยวชาญนี้เองที่ปรากฏออกมาว่าถูกต้อง ราคาได้ทำระดับสูงสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ 105.75 หลังจากนั้นก็มีการปรับฐานและปิดตลาดที่ 105.35
  • คริปโตเคอเรนซี เราเน้นย้ำในบทรีวิวครั้งที่แล้วว่า กระทิงกำลังผนึกกำลังอีกครั้ง โดยทำเทรนด์ขาขึ้นอีกรอบสำหรับบิทคอยน์ นอกจากนี้ยังมีการพูดว่าปัญหาสำคัญของตลาดคริปโตในปี 2021 จะเป็นรัฐบาล ซึ่งมีเป้าหมายที่จะหาทางจำกัดควบคุมตลาดคริปโตให้ได้มากที่สุด
    ตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2020 นักลงทุนรายสถาบันกลายเป็นผู้ผลักดันเบื้องหลังการเติบโตของราคา นอกเหนือไปจากกองทุนเฉพาะทาง เช่น Grayscale Investments และบริษัทด้านเทคโนโลยี เช่น MicroStrategy และมหาวิทยาลัยอย่าง Harvard, Yale และ Michigan ต่างเริ่มเก็บสะสมเงินคริปโต โดยใช้กองทุนของตนเอง และแม้กองทุนที่มีความอนุรักษ์นิยมสูง เช่น กองทุนเงินบำนาญรัฐบาลสหรัฐฯ อย่าง CaIPERS ก็มีการซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยประเด็นการกำกับดูแลส่งผลให้สถาบันเหล่านี้ต้องมีท่าทีอย่างระมัดระวังอย่างมากในการลงทุนในบิทคอยน์ ซึ่งในขณะนี้ยังลงทุนเป็นเงินจำนวนน้อยมาก
    ทันทีที่คู่ BTC/USD ทำระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 8 มกราคม โดยขยับขึ้นเหนือ $42,000 และมูลค่าในตลาดคริปโตสูงเกิน $1 ล้านล้านดอลลาร์ นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปก็กล่าวโดยทันทีว่านี่คือสินทรัพย์ชนิดเก็งกำไรเสี่ยงสูง ซึ่งใช้ใน “ธุรกิจแปลก ๆ “ และกิจกรรมฟอกเงินมากกว่า ด้าน นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ ก็เข้าร่วมวงด้วย เธอกล่าวว่า “คริปโตเคอเรนซีมีความน่ากังวลเป็นพิเศษ และหลายสกุลเงินคริปโตนั้นใช้ในการกิจกรรมที่ผิดกฎหมายด้านการเงิน” ทั้งลาการ์ดและเยลเลนต่างให้สัญญาณถึงความจำเป็นที่จะต้องกำกับดูแลตลาดนี้อย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนยังคงไม่ได้พูดถึงเหตุผลหลักของความกังวลดังกล่าว แม้ว่าจะชัดเจนว่า รัฐบาลนั้นล้วนกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียความควบคุมทางด้านการเงิน
    แต่อย่างไรก็ดี หลังจากคำแถลงของประธานธนาคารกลางยุโรปและธนาคารเฟดสหรัฐฯ ราคาบิทคอยน์ตกลงมาต่ำกว่า $30,000 แต่ในช่วงปลายเดือนมกราคม ตลาดก็เริ่มปรับตัว และราคาขยับขึ้นมาอีกครั้ง
    ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ คู่ BTC/USD ซื้อขายกันอยู่ที่โซน $38,000 และมูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตทำระดับสูงสุด โดยขึ้นมาที่ระดับ $1.16 ล้านล้านเหรียญ ในส่วนดัชนี Crypto Fear & Greed ขยับขึ้นถึง 81 และแม้ว่าจะยังไม่เข้าสู่โซน overbought แต่ก็ยังอยู่ไกลจากระดับสูงสุดอยู่มาก
    ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจาก Glassnode จำนวนที่อยู่ BTC ที่มีธุรกรรมซื้อขายขยับถึง 22.3 ล้านที่อยู่ในเดือนมกราคม “นี่คือตัวเลขที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ของบิทคอยน์จนถึงปัจจุบัน” กล่าวโดยนัวิเคราะห์ กิจกรรมที่เพิ่มขึ้นในเดือนมกราคมทำลายสถิติยอด 21 ล้านที่อยู่ในเดือนธันวาคมปี 2017
    นักขุดเหรียญ BTC ก็แสดงถึงดัชนีที่ใกล้กับสถิติใหม่เช่นกัน แม้ว่าราคาจะปรับลดลง 30% มกราคมยังคงเป็นเดือนที่ดีมากสำหรับ “ธุรกิจแปลก ๆ” นี้ การขุดเหรียญบิทคอยน์ทำเงินได้ $1.1 พันล้านดอลลาร์ (สูงสุด $1.2 พันล้านดอลลาร์ในเดือนธันวาคม 2017) การผลิตเหรียญ Ethereum ทำผลงานได้ $830 ล้านเหรียญ โดยสูงกว่าตัวเลขเดือนธันวาคมปี 2020 ถึง 120%

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD ณ เวลานี้ สถานการณ์ดูยังเข้าข้างฝั่งดอลลาร์ นักลงทุนจับตาคาดหวังการเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงพร้อมที่จะปิดหูปิดตาต่อหนี้สาธารณะประเทศอื่น ๆ ซึ่งจะตามมาหลังเริ่มแผนเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวเพิ่มสูงขึ้น และค่าส่วนต่างระหว่างพันธบัตรสหรัฐฯ และยุโรปก็มากขึ้น ทำให้ดอลลาร์แข็งค่า และเป็นแรงกดดันต่อเงินยูโร ด้วยเหตุนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ รอบ 10 ปีถึงระดับที่ 1.15% แล้ว และแนวโน้มที่จะขยับขึ้นก็ยังคงไม่หมดลง ตรงนี้เองคุณต้องไม่ลืมคำพูดของ คริสติน ลาการ์ด ที่เคยกล่าวไว้ว่า ธนาคารกลางยุโรปไม่ขัดที่จะเห็นยูโรอ่อนค่าลง
    เหตุผลข้างต้นนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญ 70% สนับสนุนโดยออสซิลเลเตอร์ 85% อินดิเคเตอร์เทรนด์ 70% และการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 เห็นด้วยว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นต่อไปในไม่กี่วันข้างหน้า และ EUR/USD จะขยับลดลง โดยมีแนวรับ ได้แก่ 1.1950, 1.1885, 1.1800 และ 1.1750 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้กำลังเปลี่ยนไป เมื่อปรับจากการคาดการณ์รายสัปดาห์เป็นรายเดือน ผู้เชี่ยวชาญ 60% คาดว่าในระยะยาวราคาน่าจะกลับมาสู่โซน 1.2200-1.2300 เป้าหมายคือระดับสูงสุดของเดือนมกราคมที่ 1.2350 โดยแนวต้านใกล้ที่สุด คือ 1.2175 สำหรับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เราอาจจับตาดูสถิติตลาดผู้บริโภคในเยอรมนีและสหรัฐฯ ซึ่งจะประกาศในวันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์

  • GBP/USD ตลาดจะสามารถรักษาแนวโน้มกระทิงต่อเงินปอนด์อังกฤษต่อไปได้อีกระยะหนึ่งหรือไม่? นักวิเคราะห์ 65% เชื่อว่า อย่างน้อยคู่นี้จะประสบความสำเร็จสักระยะหนึ่ง โดยราคาจะตัดระดับแนวต้านที่ 1.3750 และขึ้นไปที่ 1.3800 และอาจขึ้นไปอีก 25-50 จุด ด้านการวิเคราะห์กราฟ ออสซิลเลเตอร์ 85% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% บนกรอบ H4 และ D1 เห็นด้วยกับแนวโน้มดังกล่าวเช่นกัน
    อย่างไรก็ตาม ออสซิลเลเตอร์ 15% ให้สัญญาณอย่างชัดเจนว่าราคาอยู่ในโซน overbought
    ผู้เชี่ยวชาญที่เหลือ 35% มองว่าโซน 1.3700-1.3750 เป็นโซนอุปสรรคที่ไม่น่าฝ่าไปได้ โดยเมื่อราคาตัดผ่านแนวรับที่ 1.3700 จะต้องลงไปอีก 100 จุด และขยับลงมาที่โซน 1.3485-1.3500
    ในบรรดาเหตุการณ์ที่ควรให้ความสนใจ คือ คำแถลงของนายแอนดริว ไบเลย์ ประธานธนาคารแห่งชาติอังกฤษ ในวันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ และการประกาศสถิติ GDP ในไตรมาสที่สี่ของปี 2020 ในวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์
  • USD/JPY ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) สนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ D1 ออสซิลเลเตอร์ 75% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 80% คาดว่าราคาจะขยับขึ้นต่อไปอย่างน้อยจนถึงโซน 106.00-106.25 เป้าหมายถัดไป คือ 107.00 และแนวต้านใกล้ที่สุด คือ 105.75
    ส่วนนักวิเคราะห์ 30% ที่เหลือเชื่อว่า ราคาจะกลับมายังระดับที่ 104.00 และการวิเคราะห์กราฟในกรอบ H4 ทำนายว่า ราคาจะดิ่งลงยิ่งกว่า โดยลงมายังระดับต่ำสุดวันที่ 21 มกราคมที่ 103.30 แนวรับอยู่ที่ระดับ 104.75, 104.00 และ 103.50
  • คริปโตเคอเรนซี อะไรดีและอะไรแย่
    แน่นอนว่าการสนับสนุนเงินคริปโตจากนักลงทุนรายสถาบันขนาดใหญ่เป็นเรื่องที่ดี โดยช่วยดันราคาบิทคอยน์ให้เติบโตขึ้นต่อไป แต่ด้วยเหตุที่ตลาดเงินคริปโตในขณะนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มเล็ก ๆ นี้มากกว่า และขึ้นอยู่กับท่าทีของรัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องที่แย่ และอาจทำให้ราคาทรุดลงมา ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการดิ่งลงของราคา BTC/USD เมื่อเดือนมกราคม ถึง 30%
    อย่างไรก็ดี ท่าทีของรัฐบาลไม่เพียงแค่จะส่งผลเป็นแรงกดดันต่อตลาดเงินคริปโตเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงผลักดันอีกด้วย ในที่นี้ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ยืนยันถึงความพร้อมสำหรับมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจชุดใหม่เป็นเงินเกือบ $2 ล้านล้านดอลลาร์ และนี่เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน เพราะมีแนวโน้มเกือบ 100% ที่เงินบางส่วนจากนี้จะไหลเวียนเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์เงินดิจิทัล
    แล้วอย่างเทศกาลตรุษจีนนี้เป็นเรื่องดีหรือแย่? แน่นอนว่าเป็นเรื่องดีสำหรับหลายคน เป็นวันหยุดสนุก ๆ ของขวัญ มีการจุดประทัด.. แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า ในช่วงเทศกาลนี้ มูลค่าของบิทคอยน์อาจดิ่งลดลงอีกครั้ง นอกจากนี้ ในกรณีนี้ ราคาของบิทคอยน์ยังได้รับแรงกดดันไม่เพียงจากธนาคารกลางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักลงทุนรายย่อยอีกด้วย ผู้ที่จะเริ่มโอนเงินคริปโตกลับเป็นเงินพันธบัตรเพื่อซื้อของขวัญเทศกาลปีใหม่
    ณ เวลานี้ ในจีนมีจำนวนผู้เป็นเจ้าของวอลเล็ตบิทคอยน์ที่มีเงินมากกว่า 10,000 อยู่เป็นจำนวนมาก ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทการลงทุน Stack Funds ชี้ว่า “เนื่องจากการเฉลิมฉลองวันตรุษจีนในจีนเป็นธรรมเนียมที่สำคัญ นักลงทุนรายย่อยจะเริ่มถอนเงินก่อนช่วงวันหยุดอย่างแน่นอน นอกจากนี้ กราฟในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ในช่วงก่อนวันหยุดนี้เองที่มูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตลดลงไปมาก” เราไม่ต้องรออีกนานถึงจะได้รู้ว่าคำทำนายนี้จะเป็นจริงหรือไม่ เทศกาลตรุษจีนในจีนคือวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์นี้ และวันหยุดยาวนี้จะเริ่มตั้งแต่ 11-17 กุมภาพันธ์
    ตอนนี้มาถึง Ethereum อัลท์คอยน์ชั้นนำสกุลนี้ยังคงให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ โดยราคาขยับขึ้นมากว่า 130% นับตั้งแต่ต้นปี และเป็นการเติบโตถึง 448% ในปี 2020 แรงผลักดันสำคัญมาจากการคาดหวังการเปิดตัวสัญญาซื้อขายฟิวเจอร์สในตลาดหลักทรัพย์ชิคาโก (CME) ซึ่งมีกำหนดจะเริ่มขึ้นในวันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์นี้
    การคาดการณ์ถึงเหตุการณ์นี้มีหลายมุมมอง ผู้ที่มองในแง่บวก (ซึ่งเป็นส่วนใหญ่) นึกถึงการเปิดตัวฟิวเจอร์สบิทคอยน์บนตลาด CME ทำให้ราคาตัดทะลุระดับ $20,000 เมื่อช่วงปลายปี 2017 กลุ่มผู้ที่มองในแง่ลบกล่าวว่า เหตุการณ์นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูหนาวเงินคริปโตปี 2018 ดังนั้น คำถามว่าฟิวเจอร์สเป็นสิ่งที่ดีหรือแย่นั้นยังคงตอบไม่ได้
    ในเดือนธันวาคมปี 2020 เมื่อ BTC/USD ขยับถึงระดับสูงสุดก่อนหน้าที $20,000 และ ETH/USD ยังคงอยู่ห่างไกลจากระดับเดียวกันนั้น เราได้เน้นย้ำถึงศักยภาพการเติบโตของ Ethereum ในขณะนี้ สถานการณ์ที่คล้ายกันเริ่มเกิดขึ้นกับอีกเหรียญหนึ่งคือ Litecoin ซึ่งเราไม่เคยนึกถึงมาเป็นเวลานาน
    เหรียญสกุลนี้ปรากฏขึ้นในเดือนตุลาคมปี 2011 โดยกลายเป็นฟอร์กเหรียญเริ่มต้นของบิทคอยน์ จากมุมมองทางเทคนิคนั้นแทบจะเหมือนกันโดยสิ้นเชิง ราคาสูงสุดของ Litecoin อยู่ที่ $370 ซึ่งทำสถิติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปี 2017 จากนั้นฤดูหนาวเงินคริปโตก็มาเยือน และหนึ่งปีถัดมา ราคาเหรียญลดลงเหลือ $20 โดยเสียมูลค่าไปถึง 95% ในขณะนี้ ราคา LTC/USD อยู่ที่ระดับ $155 ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดมากกว่าสองเท่า อันนำไปสู่แนวโน้มการเติบโตได้ นอกจากนี้ Litecoin ยังแซงหน้าบิทคอยน์ในหลักเกณฑ์สำคัญบางประการ เช่น ความเร็วในการทำธุรกรรมที่รวดเร็วกว่าบิทคอยน์ถึงสี่เท่า

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา