บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 19 - 23 ตุลาคม 2020

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD ขณะนี้ ตลาดกำลังถูกปกครองด้วยสองปัจจัยหลัก: คลื่นการแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบที่สองและการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมาถึงในวันที่ 3 พฤศจิกายน
    ยอดผู้ขอใช้สวัสดิการว่างงานเบื้องต้นที่เพิ่มขึ้นเกือบ 900,000 คน แสดงว่า ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจสหรัฐฯ จำเป็นต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และแม้ว่านายสตีเฟน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะกล่าวไว้ว่า มีโอกาสยากที่ฝั่งเดโมแครตและรีพับลีคกันจะสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวได้สำเร็จก่อนการเลือกตั้ง สถิติที่ติดลบยิ่งทำให้ความต้องการในความเสี่ยงในตลาดเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และกระทบต่อตลาดหุ้น เช่น S&P500 อย่างรุนแรง สถานการณ์นี้เป็นผลดีต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันพฤหัสบดี ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมา 135 จุด และคู่ EUR/USD ได้แตะถึง 1.1685 ตามมาด้วยการรีบาวด์ลงไป และปิดตลาดรอบห้าวันทำการที่ 1.1715
    มีความเป็นไปได้ว่าชาว “อเมริกัน” จะยังคงส่งเสริมแนวโน้มแข็งค่าของดอลลาร์ต่อไป แต่ “ฝั่งยุโรป” ก็ได้รับความช่วยเหลือจากพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างมั่นใจของจีน และธนาคารกลางยุโรป ซึ่งมีจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่เพิ่มปริมาณมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
    จำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจกระตุ้นให้เริ่มใช้มาตรการกักตัวที่เข้มงวดรอบใหม่ที่จำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้จัดสรรเงินช่วยเหลือกว่า €1.8 ล้านล้านยูโรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยุโรปเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม ธนาคารกลางยุโรปไม่ต้องการจะขยายโครงการกระตุ้นทางการเงิน ในขณะนี้ มีการใช้จ่ายเงินไม่ถึงครึ่งหนึ่งในกรอบโครงการ QE ที่เริ่มดำเนินการแล้ว ดังนั้น จึงไม่สมเหตุสมผลที่จะเริ่มพูดถึงมาตรการกระตุ้นรอบใหม่ ตามความเห็นของ นายหลุน เด ควินโดส์ รองประธานธนาคารกลางยุโรป
  • GBP/USD เทรนด์ขาขึ้นของช่วง 12 วันแรกของเดือนตุลาคมนั้นสิ้นสุดลงแล้ว และราคาได้ขยับไปทางด้านข้างในกรอบ 1.2860-1.3080 นอกจากนี้ ในช่วงท้ายสัปดาห์ ตลาดหมีครองตลาด โดยสามารถกดราคาไปยังที่ระดับ 1.2915 อุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้เงินปอนด์แข็งค่าคือการเริ่มใช้มาตรการจำกัดเพิ่มเติมในลอนดอนเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโคโรนา รวมถึงคำแถลงของผู้นำอียูว่า แม้ว่าอียูจะต้องการเป็นหุ้นส่วนกับสหราชอาณาจักร แต่ก็จะไม่ยอมประนีประนอมใด ๆ
  • USD/JPY คู่สกุลเงินนี้ปิดตลาดรอบท้ายสัปดาห์ที่ 105.40 ในโซนแนวรับระยะกลางที่สำคัญมาก ซึ่งได้หยุดแนวโน้มขาลงมาแล้วหลายครั้งในช่วง 12 สัปดาห์ที่ผ่านมา และขณะนี้ก็เกิดประเด็นคำถามว่าสินทรัพย์ใดปลอดภัยสำหรับนักเทรดมากกว่ากัน ระหว่างดอลลาร์กับเงินเยน และการแข่งขันก็ยังดำเนินต่อไป
  • คริปโตเคอเรนซี บ่อยครั้งที่เราเริ่มต้นบทวิเคราะห์เงินคริปโตด้วยข่าวอาชญากรรม แต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นไม่มีข่าวใดเกิดขึ้นเป็นพิเศษ แม้ว่าจะมีรายงานจากตำรวจว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับความพยายามที่จะแบล็คเมล์และโจรกรรมเงินคริปโตบางครั้งก็ตาม
    ทั้งนี้ มีข่าวเกี่ยวกับอาคารขุดเหรียญอย่างน้อยใน 18 จังหวัดในญี่ปุ่น เหล่ามิจฉาชีพเรียกค่าไถ่เป็นเงินคริปโต “บิทคอยน์เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับอาชญากร” กล่าวโดย Japan Today “แต่ไม่มีกรณีใดที่มีข้อมูลยืนยันถึงความสำเร็จ”
    ดังนั้น อาชญากรจึงไม่ได้รับเงิน แต่ก็ยังไม่ถูกจับกุมเช่นกัน แตกต่างจากชาวนาฟาร์มแกะจากลินคอล์นไชร์ (อังกฤษ) ที่ได้ถูกตัดสินจำคุกแล้ว 14 ปี ในข้อหาโจรกรรมบิทคอยน์มูลค่า £1.4 ล้านปอนด์จากร้านค้าซุปเปอร์มาร์เก็ต Tesco
    ตามรายงานของ Daily Mail นายไนเจล ไรท์ อายุ 45 ปี ได้วางกระป๋องสินค้าอาหารเด็กยี่ห้อ Heinz and Cow & Gate บนชั้นวางในร้านค้า และบรรจุเศษเหล็กไว้ข้างในซึ่งรวมถึงเศษมีดเป็นเวลาสองปี หลังจากนั้น เขาก็เรียกค่าไถ่โดยแลกกับคำสัญญาที่จะเปิดเผยจุดที่วางกระป๋องที่อันตรายเหล่านี้ ชาวนาเลี้ยงแกะคนนี้ถูกจับกุมหลังจากนักสืบปลอมเป็นพนักงาน Tesco โอนเงินคริปโต £100,000 ให้กับเขา
    ผลจากคำขู่ของนายไรท์ ส่งผลให้บริษัท Tesco ต้องเรียกคืนอาหารเด็กกว่า 140,000 กระป๋องจากร้านค้าต่าง ๆ มีอาหารเด็ก 42,000 กระป๋องถูกทำลายทิ้ง และบริษัทต้องเสียหายกว่า £2.7 ล้านปอนด์
    หาก Tesco ขาดทุนนั้น ผู้ถือบิทคอยน์ยังคงได้กำไรต่อเนื่อง ราคาบิทคอยน์เพิ่มขึ้น 3% ในรอบ 7 วัน และเป็นไปอย่างที่เราคาดการณ์ไว้ คู่ BTC/USD ล้มเหลวที่จะยืนเหนือระดับ $11,500 และเข้าสู่โซนแข็งตัวใหม่ที่บริเวณ $11,300-11,400
    มูลค่ารวมของตลาดคริปโตในช่วงนี้ได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน และอยู่ที่ $357 พันล้านเหรียญ สำหรับดัชนี  Crypto Fear & Greed Index นั้นยังคงอยู่ในโซนสีเหลืองตรงกลางเกณฑ์ — ที่ 52 (อยู่ที่ 48 เมื่ออาทิตย์ก่อนหน้า)
    Bitcoin เองขยับขึ้นมา 8.5% ในรอบ 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ผลลัพธ์ของอัลท์คอยน์ติดอันดับต้น ๆ อย่าง Litecoin (LTC/USD), Ripple (XRP/USD) และ Ethereum (ETH/USD) แทบจะเป็นศูนย์ ปริมาณการขุดเหรียญ Ethereum เพิ่มขึ้นเกือบ 40% ในรอบเดือนที่ผ่านมา จากรายงานแพล็ตฟอร์มวิเคราะห์อย่าง Glassnode ระบุว่า แหล่งรายได้หลักมาจากค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น ความนิยมในตลาด DeFi ยังสะท้อนให้เห็นในรายได้ของนักขุดเหรียญ ซึ่งเพิ่มจำนวนธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชน Ethereum
    โปรโตคอลและความสามารถในการสร้างสัญญาที่ชาญฉลาดนี้ทำให้สามารถสร้างสินทรัพย์ทางการเงินที่กระจายศูนย์กลางได้ภายในกรอบโครงการ DeFi และ DAO ซึ่งช่วยให้ทำเงินได้จากการเก็บเงินง่าย ๆ (การตรวจสอบธุรกรรมโดยใช้เงินค้ำประกัน หรือ Staking)
    ด้วยเหตุนี้ จำนวนวอลเล็ตที่มีการใช้งานรายวันในเครือข่าย Ethereum จึงเพิ่มขึ้นสี่เท่า จาก 12,800 ในไตรมาสที่สองเป็น 50,200 ในไตรมาสที่สามของปี 2020 บล็อกเชน Ethereum คิดเป็น 96% ของธุรกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับแอปพลิเคชันกระจายศูนย์กลาง (dapps) ซึ่งเป็นเงินรวมเกือบ $120 พันล้านเหรียญ
    กิจกรรมดังกล่าวของคู่แข่งย่อมทำให้ผู้ถือเงินคริปโตอย่างบิทคอยน์ตื่นเต้นยิ่งขึ้น และด้วยผลลัพธ์ของการทำงานร่วมกันของเครือข่าย Kyber, the Ren และ BitGo ก็มีการเริ่มโครงการคล้าย ๆ กันขึ้นมาคือ DAO WBTC โดยผลลัพธ์ในไตรมาสที่ 4 จะแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมเพียงใด

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD เมื่อดูกราฟคู่นี้ นักเทรดผู้มีประสบการณ์เห็นได้ชัดเจนว่า ออสซิลเลเตอร์ทั้งบน H4 และ D1 ต่างไม่สามารถให้คำทำนายที่แม่นยำได้ในขณะนี้ ในบรรดาอินดิเคเตอร์เทรนด์ ฝั่งสีแดงได้เปรียบกว่าชัดเจนจาก 70% บนทั้งสองกรอบเวลา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการสนับสนุนของการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 ในส่วนการวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่สามารถรับประกันได้ว่าเทรนด์จะขยับในขาลงต่อไป คำสำคัญในที่นี้ก็คือบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะปัจจัยที่กล่าวไปแล้วในตอนต้นของบทวิเคราะห์ฉบับนี้
    แน่นอนว่า เราอาจจะได้ยินอะไรใหม่ ๆ ในสัปดาห์หน้า ดูเหมือนว่าเป้าหมายหลักของประธานธนาคารกลางคือการบรรลุเป้าหมายตามคำพูด โดยมีกำหนดว่า นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปจะกล่าวแถลงในวันที่ 18, 19, 21 ในขณะที่เราจะได้ฟังคำกล่าวของ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารเฟดสหรัฐฯ ในวันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม แต่นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด การอภิปรายระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ และนายโจ ไบเดน จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม เหลือเวลาเพียง 10 จนถึงศึกดังกล่าว และการประลองวาทะศิลป์ของนักการเมืองทั้งสองนั้นคาดว่าจะดุเดือดเป็นอย่างมาก
    ทั้งถ้อยแถลงของนางลาการ์ด และนายพาวเวลล์ และการดีเบตของผู้ชิงตำแหน่งในทำเนียบขาวอาจจะส่งผลต่อความรู้สึกของนักลงทุนได้เป็นอย่างมาก และหากดัชนีหุ้นยังคงปรับลดลงต่อไป จะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และคู่ EUR/USD ขยับลงทิศใต้ต่อไป โดยนักวิเคราะห์ 60% เห็นด้วยกับทิศทางนี้ และกำหนดเป้าหมายไว้ที่ราคาต่ำสุดของเดือนกันยายนที่บริเวณ 1.1610 ส่วน 40% ที่เหลือเชื่อว่า เมื่อราคาได้ดีดออกจากระดับ 1.1715 ราคาจะขยับขึ้น ส่วนระดับแนวต้านที่ใกล้ที่สุด คือ 1.1755 และ 1.1825 โดยมีแนวขวางอยู่ในโซน 1.1900
  • GBP/USD ไม่เพียงแต่ประธานของธนาคารกลางยุโรปและธนาคารเฟดเท่านั้น นายแอนดริว ไบเลย์ ประธานธนาคารแห่งชาติอังกฤษ จะกล่าวหลายเรื่องในอนาคตอันใกล้นี้ โดยเขามีกำหนดจะแถลงในวันที่ 18 และ 22 ตุลาคม อย่างไรก็ตาม เขาจะไม่ใช่คนหลักที่จะกระตุ้นข่าว เงินปอนด์ยังคงมีศักยภาพที่จะแข็งค่าขึ้นต่อไป แต่ยังต้องอาศัยข่าวความสำเร็จในการเจรจาระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปเกี่ยวกับข้อตกลงเบร็กซิต ซึ่งชัดเจนว่าจะยืดระยะเวลาออกไปอีกสองสัปดาห์หรืออาจนานกว่านั้น จริง ๆ แล้วการที่ นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรไม่ลดละความพยายามในการเจรจาเบร็กซิตนั้นเป็นสัญญาณที่ดีและสร้างความหวังว่าข้อตกลงกับอียูจะบรรลุได้สำเร็จในที่สุด แต่คงไม่ใช่ในไม่กี่วันข้างหน้า ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญ 70% สนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ H4 และ D1 รวมถึงออสซิลเลเตอร์ 80% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 90% บนกรอบ H4 เชื่อว่าคู่ GBP/USD อาจขยับลงมาที่โซน 1.2700 ในสัปดาห์ข้างหน้านี้ โดยมีแนวรับอยู่ที่ 1.2845 และ 1.2770
    ส่วนนักวิเคราะห์ 30% ที่เหลือหวังว่า ราคาจะคงอยู่ในกรอบของช่อง 1.2845-1.3035 และอีกไม่นานจะกลับมาสู่กรอบด้านบน โดยมีระดับแนวต้านถัดไปคือ 1.3080
  • USD/JPY ปัจจุบัน ค่าเงินญี่ปุ่นได้รับแรงหนุนจากความต้องการในความเสี่ยงที่ลดลงและผลตอบแทนในพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เงินเยนเข้าใกล้ระดับแนวรับสำคัญที่ 105.00 การตัดผ่านระดับดังกล่าวนั้นเป็นไปได้ยาก หากดูกราฟรอบ 12 สัปดาห์จะเห็นถึงความพยายามที่จะฝ่าระดับดังกล่าวในปี 2018-2019 แต่ก็เป็นเพียงความทรงจำในอดีตเท่านั้น ตลาดฝั่งหมีไม่เคยทำสำเร็จ
    ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) สนับสนุนโดยออสซิลเลเตอร์ 75% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ในกรอบ D1 เชื่อว่า ราคาจะยังคงสามารถตัดผ่านระดับสำคัญดังกล่าวได้ในอีกสองหรือสามสัปดาห์ข้างหน้า และขยับถึงระดับต่ำสุดที่ 104.00 ของวันที่ 21 กันยายนสักครั้งหนึ่ง โดยมีแนวรับ ได้แก่ 105.00 และ 104.45
    สำหรับนักวิเคราะห์ 30% และการวิเคราะห์กราฟนั้นคาดการณ์ว่า ดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น ทำให้คู่ USD/JPY สามารถตัดขึ้นผ่านระดับ 105.00 และขยับขึ้นมายังแนวต้านที่ 106.00 จากนั้นที่ 106.40 และท้ายที่สุดขึ้นไปยังระดับ 107.20

  • คริปโตเคอเรนซี เราได้เน้นย้ำในช่วงต้นของบทวิเคราะห์นี้ว่า พัฒนาการของตลาด DeFi ทำให้ความนิยมในเหรียญ Ethereum เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันหากนายโจ ไบเดน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี สิ่งนี้จะก่อให้เกิดคลื่นลูกใหม่ของการกำกับดูแลและมาตรการเข้มงวดในตลาดการเงิน ซึ่งอาจส่งผลให้โครงการ DeFi ต้องถูกปิดตัวลง
    แต่สำหรับบิทคอยน์ ผู้เชี่ยวชาญ Bloomberg มองว่าจะยิ่งได้ชัยชนะหาก นายโจ ไบเดน เป็นฝ่ายชนะ ภายใต้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นเน้นการหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่า รวมถึงอุตสาหกรรมทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้อง นักวิเคราะหจึงมั่นใจว่ารัฐบาลชุดใหม่ของอเมริกาจะคิดพิจารณาอย่างก้าวหน้ามากขึ้นในเรื่องการเงิน และมีมุมมองว่าการยอมรับบิทคอยน์โดยสถาบันต่าง ๆ จะเร่งกระบวนการให้เร็วยิ่งขึ้น
    ภารกิจหลักของเหรียญนี้ในขณะนี้คือการตัดทะลุแนวต้านสำคัญที่ $12,000 และยืนเหนือระดับดังกล่าวให้สำเร็จ ในที่ระดับนี้เอง ทั้งในเดือนสิงหาคมปี 2020 และปี 2019 ที่ตลาดหมีเริ่มบุกและกดราคาเข้าสู่เทรนด์ขาลง หากตลาดกระทิงสามารถดันราคาจนเฉือนชนะเหนือฝั่งขาย คู่ BTC/USD ก็จะมีโอกาสที่จะทะยานขึ้นไปทำราคาใหม่ที่ $13,000-13,750 ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของฤดูร้อนที่แล้ว
    จากการคำนวณของ ทิโมธี ปีเตอร์สัน ผู้จัดการบริษัทการลงทุน Cane Island Alternative Advisors ผู้ใช้งานกฎ Metclough ในการคาดการณ์ชี้ว่า ราคาบิทคอยน์มีโอกาส 90% ที่จะไม่ตกลงต่ำกว่าระดับ $11,000 นอกจากนี้ มีโอกาสที่เท่ากันที่ราคาจะขยับถึงระดับ $12,000 ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2020
    กฎ Metclough ในการนำมาใช้กับตลาดเงินคริปโตชี้ว่า มูลค่าของบิทคอยน์นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้งาน และตามมุมมองของนายปีเตอร์สัน แนวทางนี้ช่วยให้เขาสามารถทำนายราคา BTC ในช่วงปลายปี 2018 และปี 2019 ได้สำเร็จ
    ผู้เชี่ยวชาญอีกหนึ่งท่าน นายคี ยอง จู ซีอีโอของบริษัทนักวิเคราะห์ CryptoQuant เชื่อด้วยว่า ราคาเหรียญนี้จะเติบโตขึ้นต่อไป โดยอ้างถึงการไม่มีการไหลเวียนเข้ามาของบิทคอยน์ในตลาดแลกเปลี่ยน โดย CryptoQuant ได้พัฒนาตัวชี้วัดเป็นของตนเอง เรียกว่า All Exchanges Inflow Mean เพื่อประเมินปริมาณการโอน BTC เข้ามาสู่ตลาดแลกเปลี่ยน และขณะนี้ดัชนีดังกล่าวอยู่ในโซน “ปลอดภัย” โดยฝั่ง “ปลาวาฬ” นั้นยังไม่รีบที่จะเทขาย และจากคำทำนายของนายคี ยอง จู ราคาบิทคอยน์ที่ $11,500 จะไม่นำไปสู่การเทขายเหรียญครั้งใหญ่
    ในปัจจุบัน ข้อมูลจาก chain.info ชี้ว่า ตลาดแลกเปลี่ยนขนาดใหญ่ที่สุด 5 แห่งบรรจุเหรียญไว้เกือบ 2 ล้าน BTC ซึ่งคิดเป็นเกือบ 11% ของบิทคอยน์ที่ตราออกมาทั้งหมด ตลาดแลกเปลี่ยนเหล่านี้เป็นเป้าหมายของการถูกโจมตีของแฮคเกอร์ และยังตกเป็นเป้าโจมตีของเหล่าสถาบันและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่างๆ และสิ่งนี้เองทำให้ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าจะส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนบิทคอยน์ในตลาด และราคาเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะไม่มีใครเชื่อว่า คู่ BTC/USD จะไม่สามารถขยับทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ $20,000 ภายในสิ้นปีนี้ แม้แต่ความเป็นไปได้ที่ราคาจะยืนเหนือ $13,000 ก็มีเพียง 25% แต่ความน่าจะเป็นที่ราคาตกลงมาที่ $9,000 ก็มีโอกาสเท่ากันเช่นกัน

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา